วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

เทคนิคในการปรับแต่งภาพถ่าย

เทคนิคในการปรับแต่งภาพถ่ายของเรานั้นไม่ยากครับ มาดูตัวอย่างภาพ และขั้นตอนการทำงานทีละขั้นตอนกันเลยครับ
ก่อนอื่นเรามาเปรียบเทียบภาพผลลัพธ์ที่ได้ เที่ยบกับภาพต้นฉบับกันนะครับ

ภาพที่แนบมา
Before

ภาพที่แนบมา
After


มาเริ่มกันเลยครับ
  1. เปิดภาพที่ต้องการครับ จะ resize ภาพให้ได้ขนาดที่ต้องการรอไว้ก่อนเลยก็ได้ครับ
    ภาพที่แนบมา
  2. เมื่อเปิดภาพขึ้นมาแล้ว ใน palette "Layer" เราจะได้เลเยอร์มาชื่อว่า "Background" ให้เราทำการก๊อปปี้เลเยอร์ครับ โดยคลิกขวาที่เลเยอร์ Background แล้วเลือก Duplicate Layer... ครับ
    ภาพที่แนบมา
  3. เราก็จะได้เลเยอร์ใหม่ขึ้นมาชื่อว่า "Background copy" ให้เราคลิกที่เลเยอร์ Background copy ครับ เนื่องจากต่อไปเราจะจักการกับเลเยอร์นี้ไปจนจบขั้นตอนครับ
    ภาพที่แนบมา
  4. เราจะมาปรับภาพให้เบลอกันหน่อย จะเบลอทำไม เดี๋ยวได้เห็นครับ โดยไปที่เมนู Filter > Blur > Gaussian Blur... ตามภาพเลยครับ
    ภาพที่แนบมา
  5. จากนั้นเราจะทำให้เบลอแล้วครับ โดยปรับค่า Radius ไปที่ 20 pixels (หรือใครจะปรับมากหรือน้อยกว่านี้ก็ไม่ขัดศรัทธาครับ)
    ภาพที่แนบมา
  6. ต่อไปเราจะมาสร้างปาฏิหารย์กันครับ โดยกลับมาที่ palette "Layer" จิ้มที่ Opacity ปรับให้เหลือ 25% ครับ
    ภาพที่แนบมา
  7. โอ้ว! แม่เจ้า! เสร็จแล้วครับ อะไรจะง่ายและรวดเร็วอย่างนี้ เสร็จแล้วครับ เราจะได้ภาพเบลอฟุ้งนุ่มนวลเหมือนฝันได้ง่ายๆครับ ลองหารูปสวยๆรูปอื่นมาแต่งดูนะครับ แล้วคุณจะหลงรักมันเหมือนผม
    ภาพที่แนบมา
เสร็จไปแล้วครับกับเทคนิคง่ายๆได้ประโยชน์ ลองทำกันดูนะครับ แล้วอย่าลืมเอาผลงานมาแบ่งให้ดูด้วยนะครับ คงได้รูปสวยๆกันทุกคนแน่นอนครับงานนี้

วิธีใส่เพลงใน Blogger ให้เล่นเองแบบอัตโนมัติ (Autoplay)


วิธีใส่เพลงใน Blogger ให้เล่นเองแบบอัตโนมัติ (Autoplay)

ทำตามขั้นตอนดังนี้ได้เลยครับ

ขั้นตอนที่ 1. ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ www.youtube.com  จากนั้นเลือกเพลงตามต้องการครับ
ขั้นตอนที่ 2. คลิกคำว่า  Share


ขั้นตอนที่ 3. คลิกคำว่า  Embed 
ขั้นตอนที่ 4. คัดลอกโค้ดดังกล่าว  หรือ  คลิกขวา  แล้วกด คัดลอก (Copy)




ขั้นตอนที่ 5. เข้ามาที่บล็อกของเรา  ไปที่  รูปแบบ >> เพิ่ม Gedget  >> HTML  ดังรูป


ขั้นตอนที่ 6.  ทำการวางโค้ดที่คัดลอกมา  แล้ว  พิมคำว่า  ;autoplay=1   ต่อท้ายคำว่า  ?rel=0  ถ้าหากคำว่า  ?rel=0 ไม่มี  ก็ให้ทำการเลื่อนไปข้างหน้า  (หรือต่อท้ายชื่ออ้างอิงนั่นเอง)  จากนั้นทำการปรับความกว้าง  (width)  และความสูง (height)  ให้เหมาะสม  ดังรูป...  ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะแสดงเพลงแบบอัตโนมัติครับ 




วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

บทความเทคโนโลยี


บทความ เรื่อง เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์กับการศึกษาไทย

ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งถือว่าเป็นยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกในหลายๆด้านทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอันนำไปสู่การปรับตัวเพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ทุกประเทศทั่วโลกกำลังมุ่งสู่กระแสใหม่ของการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า สังคมความรู้ (KnowledgeSociety) และระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-Based Economy) ที่จะต้องให้ความสำคัญต่อการใช้ความรู้และนวัตกรรม (Innovation) เป็นปัจจัยในการพัฒนาและการผลิตมากกว่าการใช้เงินทุนและแรงงาน
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้ ซึ่งประกอบกันเป็น “สารสนเทศ” นั้น สามารถลื่นไหลได้สะดวก รวดเร็ว จนสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ระดับบุคคลขึ้นไปถึงระดับองค์กรอุตสาหกรรม ภาคสังคม ตลอดจนในระดับประเทศและระหว่างประเทศ จนกระทั่งภาวะ “ไร้พรหมแดน” อันเนื่องมาจากอิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าว ได้เกิดขึ้นในกิจกรรมและวงการต่างๆ และนับเป็นความกลมกลืนสอดคล้องกันอย่างยิ่ง ที่การพัฒนาบุคลากรในสังคมอันประกอบด้วยภาคการศึกษา และการฝึกอบรมเป็นเรื่องราวของการเรียนรู้สารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นข้อมูล (Data) ข่าวสาร (Information)ก็ตาม ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นเครื่องมือที่สามารถนำประโยชน์มาสู่วงการศึกษา ได้อย่างเหมาะสมหากรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์และคุ้มค่าต่อการลงทุน (ไพรัช ธัชยพงษ์และพิเชษ ดุรงคเวโรจน์ .2541
เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ อุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงอย่างหนึ่งที่นับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งได้แก่ “คอมพิวเตอร์”(Computer) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกวงการ โดยเฉพาะวงการศึกษาได้นำคอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นในด้านการบริหาร การบริการ และการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน เป็นต้น
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525 ได้ให้ความหมายของ “คอมพิวเตอร์” ไว้ว่า”เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์”คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานแทนมนุษย์ในด้านการคำนวณและสามารถจำข้อมูลทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้ เพื่อการเรียกใช้งานครั้งต่อไป รวมทั้งสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ (Symbol) ได้ด้วยความเร็วสูงโดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม นอกจากนี้ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลไว้ในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ (ตวงแสง ณ นคร .2542)
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

คอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ในวงการศึกษา หรืออาจเรียกว่า คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา (Computer-Based Education, Instructional Computer : IC, Computer-Based Instruction : CBI) มีความหมายเหมือนกันคือ การนำคอมพิวเตอร์ มาใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษา ไม่ว่าจะ เป็นการจัดการเรียนการสอน การลงทะเบียน การจัดทำบัตรนักศึกษา การจัดทำผลการเรียนการสอนรวมไป จนถึงการออกใบรับรองการจบหลักสูตร
Robert Taylor นักเทคโนโลยีการศึกษา ได้แบ่งการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา ไว้ในหนังสือ the Computer in the School : Tutor, Tutee โดยได้แบ่งการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในโรงเรียนออกเป็น 3 ลักษณะคือ การใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะของติวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะของอุปกรณ์ การเรียนการสอนและการใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะของผู้เรียน (ดิเรก ธีระภูธร .2545)
แต่กระบวนการในการจัดการศึกษาในภาพรวม ไม่ได้หมายถึงสถานศึกษาหรือสถาบันการศึกษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ยังมีหน่วยงานทางการศึกษาและองค์กรอื่นที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและสนับสนุนการจัดการศึกษาด้วย ฉะนั้นบทบาทของคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นต้องนำมาใช้ในการศึกษา จึงแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. คอมพิวเตอร์เพื่อการบริหาร (computer Applications into Administration)
การบริหารการศึกษานับเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทาง นโยบาย อันนำไปสู่แนวทางปฏิบัติในการจัดการศึกษา ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น สิ่งสำคัญในการที่จะช่วยให้บริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพก็คือความพร้อมของข้อมูลในการบริหารจัดการเพื่อการตัดสินใจและกำหนดนโยบายการศึกษา คอมพิวเตอร์จึงเข้ามามีบทบาทในการบริหารการศึกษามากขึ้น ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่ชัดเจนถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สรุปได้ดังนี้
1.1 การบริหารงานทั่วไป เป็นการนำคอมพิวเตอร์ช่วยในการบริหารงานบุคคล งานธุรการ การเงินและบัญชีการประชาสัมพันธ์ รวมถึงการจัดทำระบบฐานข้อมูล (Management Information System :MIS) เพื่อประโยชน์ในการวางแผนและบริหารการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
1.2 งานบริหารการเรียนการสอน เป็นการนำคอมพิวเตอร์ช่วยในการบริหารของครูผู้สอนนอกเหนือจากงานด้านการสอนปกติ เช่น งานทะเบียน งานด้านเอกสาร การจัดตารางสอน ตารางสอบ การตรวจและการเก็บรวบรวมคะแนน การสร้าง-วิเคราะห์ข้อสอบ การวัดและประเมินผลการเรียน เป็นต้น
2. คอมพิวเตอร์เพื่อการจัดการเรียนการสอน (Computer -Managed Instruction)
การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้ครูผู้สอนไม่ต้องเสียเวลากับการงานบริหาร ครูผู้สอนจะได้มีเวลาไปปรับปรุงบทเรียนให้ทันสมัยและมีเวลาให้กับนักเรียนมากขึ้น เช่น การจัดเลือกข้อสอบ การตรวจและให้คะแนนและวิเคราะห์ข้อสอบ การเก็บประวัตินักเรียนเฉพาะวิชาที่สอนเพื่อดูพัฒนาการด้านการเรียนและการให้คำปรึกษา และช่วยในการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการเรียนการสอนของวิชาที่สอน รวมถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการเรียนการสอนจะทำให้ครูผู้สอนสามารถวิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของผู้เรียน
3. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer -Assisted Instruction : CAI)
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียน แบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) คือสามารถ โต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้ เช่นเดียวกับการสอนระหว่างครูกับนักเรียนที่อยู่ในห้องตามปกติ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีหลายประเภทตามวัตถุประสงค์ที่จะให้นักเรียนได้เรียน กล่าวคือ ประเภทติวเตอร์ ประเภทแบบฝึกหัด ประเภทการจำลอง ประเภทเกม ประเภทแบบทดสอบซึ่งในแต่ละประเภทก็มีจุดมุ่งหมายในการให้ความรู้แก่ผู้เรียนแต่วิธีการที่แตกต่างกันไป ข้อดีของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนคือช่วยลดความแตกต่างระหว่างผู้เรียน เช่นผู้ที่มีผลการเรียนต่ำ ก็สามารถชดเชยโดยการเรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ และสำหรับผู้มีผลการเรียนสูงก็สามารถเรียนเสริมบทเรียนหรือเรียนล่วงหน้าก่อนที่ผู้สอนจะทำการสอนก็ได้
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

สรุป
แนวโน้มในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการศึกษาในปัจจุบันและอนาคตจะเป็นรูปแบบของการเรียนการสอน โดยนำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มาผสมผสานกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เนื่องจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมีลักษณะเฉพาะ คือ มีความสามารถในการนำเสนอข้อมูลผ่านระบบ World Wide Web ในการใช้เพื่อการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction : WBI) หรือ E-learning ซึ่งวงการศึกษาคงจะหลีกเลี่ยงได้ยากยิ่ง

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

การทำ E book


สร้าง E- Book ด้วยโปรเเกรม FlipAlbum 6.0 Pro.

            สื่อนำเสนอในปัจจุบันได้มีการพัฒนารูปแบบใหม่ความโด่ดเด่น  น่าสนใจด้วยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia) การนำเสนอข้อความหรือเนิ้อหาปริมาณมากๆ ในลักษณะของสิ่งพิมพ์หรือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)  ก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากสิ่งพิมพ์หรือหนังสือที่เป็นไฟล์เนื้อหาเพียงอย่างเดียว ต้องดูด้วยเทคนิคการเลื่อนจอภาพ ไปเป็นเทคนิคการนำเสนอที่มีลักษณะการเปิดหน้าหนังสอแบบเสมือน  เนื้อหาที่นำเสนอเป็นได้ทั้งข้อความ  ภาพนิ่ง  ภาพเคลื่อนไหว  วิดีทัศน์ และเสียง  อันเป็นการใช้ความสามารถของเทคโนโลยีมัลติมีเดียมาผสมผสานกบ e-Book  ได้อย่างลงตัว  เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงอย่างมากในปัจจุบันภายใตชื่อเรียกว่า Multimedia e-Book


    การพัฒนา Multimedia e-Book  มีซอฟต์แวร์ช่วยหลายตัว โดยซอฟต์แวร์ที่โดดเด่นตัวหนึ่งคือ FlipAlbum ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนามาเป็น FlipAlbum 6.0  โดยความสามารถของโปรแกรมที่ทำให้การนำเสนอสื่อออกมาในรูปแบบ 3D Page-Flipping interface และมีชื่อเรียกเฉพาะว่า FlipBook ผลงานที่ได้นี้สามารถนำเสนอได้ทั้งแบบ Offline ด้วยความสามารถ AutoRun อัตโนมัติ และ Online ผ่านโปรแกรมแสดงผลเฉพาะ FlipViewer

    คุณสมบัติขั้นต่ำของคอมพิวเตอร์ 
•  ระบบปฏิบัติการ Windows® 98/2000/ME/XP 
•  คอมพิวเตอร์ IBM® PC compatible หนวยประมวลผล Pentium® II 
   300 MHz 
      - หน่วยความจำแรมอย่างต่ำ 128 MB  
      - พื้นที่ว่างของฮาร์ดดิสก์อย่างต่ำ 100 MB 
      - การ์ดแสดงผล 16-bit  
      - จอภาพที่มีความละเอียดไม่น้อยกว่า 800 × 600 pixels  

เตรียมความพร้อมก่อนสร้าง E-Book
         ข้อมูลที่สามารถใส่ลงในโปรเเกรม Flip album ได้นั้นมีรูปเเบบที่หลากหลายทั้งข้อความ, ภาพนิ่ง, ภาพเคลื่อนไหว, ไฟล์วิดิโอเเละไฟล์เสียง ดังนั้นควรจัดเตรียมข้อมูล ตกเเต่งรูปภาพเเละอื่นๆ ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเเละจัดเก็บรวมกันไว้ใน Folder ที่กำหนดขึ้นเช่น  C:\my pic เป็นต้น ทั้งนี้ไฟล์ที่สามารถใช้ได้ ได้เเก่ (GIF, JPG, PNG, BMP, WMF, ICO, PCX, TIF, PCD, PSD); OEB Package Format (OPF); Sound Files (MID, WAV, MP3); Video Files (AVI, MPG)

การสร้างเอกสาร E – Book
     เปิดโปรแกรม FlipAlbum  จากเมนูคำสั่ง Start, Program, E-Book Systems, flipAlbum 6 Pro, FlipAlbum Pro  จะปรากฏจอภาพทางาน  โดยส่วนสำคัญของการสร้าง e-Book อย่างง่ายและเร็วนี้คือจอภาพ QuickStart 
(ถ้าไม่ปรากฏให้เลือกคำสั่ง File, Start Wizard)








จากภาพดังกล่าวมี ขั้นตอนการทำงาน 3 ขั้นตอนดังนี้ 


1. คลิกรายการ Open Folder  แล้วเลือกโฟลเดอรที่เตรียมภาพไว้ก่อนหน้านี้ 
  (ตัวอย่างคือโฟลเดอร์ Graffiti)






2. จากนั้นคลิกรายการ Page Layout  เพื่อเลือกรูปแบบของสื่อ ทั้งนี้รูปแบบ Single image per page  เป็นลักษณะการนำเสนอภาพแยกเป็น 2  หน้ากระดาษ  และรูปแบบ Centerfold page เป็นลักษณะการนำเสนอภาพบนกระดาษแผ่นใหญ่แผ่นเดียว ทั้งนี้เมื่อคลิกเลือกจะปรากฏ Effect สีขาวฟุ้งๆ รอบรูปแบบที่เลือก







3.  จากนั้นคลิกเลือก Themes เพื่อเลือกลักษณะปก และพื้นหนังสือ 







4.  เมื่อครบทั้ง 3 ขั้นตอนก็คลิกปุ่ม Finish โปรแกรมจะนำภาพทุกภาพในโฟลเดอร์ที่ระบุมาสร้างเป็น e-Book ให้อัตโนมัติ





การเลื่อนหน้ากระดาษ
  • คลิกบนหน้ากระดาษด้านขวา เพื่อดูหน้าถัดไป
  • คลิกบนหน้ากระดาษด้านซ้าย เพื่อย้อนกลับ
  • เลื่อนเมาส์ไปชี้ที่ขอบหนังสือด้านซ้ายหรือขวามือเพื่อเลือกหน้าที่จะเปิด
  • คลิกปุ่มขวาของเมาส์บนหน้ากระดาษ เเล้วคลิกคำสั่ง Flip To


                          o    Front Cover   คือปกหน้า

                          o    Back Cover  คือปกหลัง
                          o    Overview  คือหน้าสรุปรวมเนื้อหา 
                                ซึ่งมีลักษณะเป็นภาพขนาดเล็ก (Thumbnails)


         การทำงานของหน้านี้ แบ่งเป็น 
         >>  การคลิกที่รูปภาพเล็ก เพื่อแสดงภาพแบบเต็มจอ 
                กดปุ่ม Esc   เพื่อกลับสู่สภาวะปกติ 
          >>  การคลิกที่ชื่อภาพ เพื่อเปิดไปยังหน้านั้นๆ 
          >>  ใช้เทคนค Drag & Drop ชื่อไฟล์ภาพ 
               เพื่อสลับตำแหน่ง
         >>  คลิกปุ่มขวาของเมาส์ที่รูปเพื่อเปิดเมนูลัด
                ในการทำงาน  

o Contents  คือหน้าสารบัญ โปรแกรมจะนำชื่อไฟล์ภาพหรือสื่อมาเป็นรายการสารบัญ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ตามต้องการ แต่ห้ามใช้สัญลักษณ์พิเศษใดๆ เช่น % ^ /    

   



การปรับเปลี่ยนอัลบั้มอิสระ
     FlipAlbum จะกำหนดลักษณะของหน้าปก, หน้าเอกสารด้วยภาพที่มีสีสันตาม Themes ที่เลือกเเต่ก็สามารถปรับเเต่งได้เอง โดย
1. เลือกหน้าเอกสารที่ต้องการปรับเเก้ไข

2. คลิกขวาพื้นที่หน้านั้น เเล้วเลือกคำสั่ง Page Properties   

3. เลือกลักษณะของพื้นเอกสาร    
      • Default   ตามค่าเริ่มต้นของระบบ
      • Color  ระบุสีเพื่อเเสดงผลเป็นสีของพื้นเอกสาร

      • Texture  ระบุไฟล์กราฟิกอื่นๆ ที่จะนำมาใช้เป็นพื้นเอกสาร 
    
     
4.    คลิกปุ่ม OK เพื่อยืนยันการปรับเเต่งหน้าเอกสาร


ตัวอย่างการปรับเปลี่ยนหน้าเอกสาร E-book : Graffiti




การเลือกสันปกเเบบต่างๆ

     เป็นการเลือกรูปเเบบของสันปกอัลบั้มว่าจะใส่ห่วงสันปกหรือไม่ ซึ่งมีหลายเเบบให้เลือก ทำได้โดยคลิกที่คำสั่ง Options >> Book Binder เเละเลือกรูปเเบบที่ต้องการดังรูป








การปรับแต่ง / เพิ่มเติมข้อความ

  • การปรับแต่งแก้ไขข้อความใน e-Book  ทำได้โดยการดับเบิ้ลคลืกที่ข้อความเดิม  ซึ่งจะปรากฏเป็นกรอบข้อความ และแถบเครื่องมือการปรับแต่งข้อความ
  • การเพิ่มข้อความ
    การเพิ่มข้อความ  จะต้องตรวจสอบก่อนว่าข้อความนั้นจะเพิ่มในหน้าซ้าย  หรือหน้าขวาได้หรือไม่ โดยสังเกตจากปุ่มเครื่องมือ Insert Annotation    ซึ่งจะถูกแบ่งครึ่ง  ครึ่งซ้ายคือการเพิ่มข้อความในกระดาษหน้าซ้าย  และคึ่รงขวาคือการเพิ่มข้อความในกระดาษหน้าขวา หากปุ่มเครื่องมือ Insert Annotation  ไม่สามารถคลิกได้  แสดงว่าหน้ากระดาษที่ปรากฏไม่สามารถป้อนข้อความได้  จะต้องเพิ่มหน้ากระดาษที่สามารถป้อนข้อความได้ด้วยคำสั่ง Edit, Insert Page, Left Page หรอ Right Page ก่อน


การปรับแต่งรูปภาพ
  •  การย่อ/ขยายรูปภาพ สามารถทำได้หลากหลายวิธี ได้แก่ 

         - การย่อ/ขยายด้วย Handle
         - การย่อ/ขยายด้วยเมนูคำสั่งทีละภาพ 
         - การย่อ/ขยายแบบ Batch ซึ่งให้ผลพร้อมกันหลายๆ ภาพ

  •  การหมุนภาพ

        ภาพที่นำเข้ามาบางภาพอาจจะมีแนวการแสดงผลไม่เหมาะสม ซึ่ง     
        สามารถหมุนภาพให้เหมาะสมได้โดยคลิกขวาที่ภาพ แล้วเลือกคำสั่ง  
        Rotate จะปรากฏคำสั่งย่อย ดังนี้ 
        -  Left by 90    หมุนไปทางซ้าย 90 องศา 
        -  Right by 90   หมุนไปทางขวา 90 องศา 
        -  By 180   หมุน 180 องศา 
        -  By Other Angles  หมุนโดยกำหนดมุมอิสระ



  •  การแสดงภาพด้วย Effect พิเศษ

        ทำได้โดยการคลิกขวาที่ภาพ แล้วเลือกคำสั่ง Effects จะปรากฏ
        คำสั่งย่อย ดังนี้ 
          - Transparent   ทำให้พื้นของภาพมีลักษณะโปร่งใส โดยโปรแกรมจะ
        แสดงหลอดดูดสี (Eye Dropper) ให้คลิก ในตำแหน่งสีที่ต้องการทำให้  
        เป็นสีโปร่งใส     
         -  3D ทำให้ภาพมีลักษณะนูนแบบ 3 มิติ 
         -  Shadow  ทำให้ภาพมีเงา 
         -  Select Crop Shape  เลือกรุปทรงพิเศษ ซึ่งมีตัวเลือก ดังนี้





เมื่อคลิกรูปแบบที่ต้องการแล้วคลิก OK ภาพดังกล่าวจะแสดงผลด้วยรูปแบบที่เลือก เช่น 


           -  Add/Edit Frame ใส่กรอบให้กับรูปภาพ โดยมีลักษณะ

              กรอบภาพ ดังนี้






การเพิ่มรูปภาพ
     การเพิ่มรูปภาพใน e-Book ทำได้โดยคลิกปุ่มเครื่องมือ Insert Multi-media Objects หรือ คลิกขวาที่หน้าเอกสารที่ต้องการเพิ่มรูปภาพเลือก Multi-media Objects







จากนั้นเลือกไดร์ฟ  และโฟลเดอร์ที่ต้องการเลือกรูปภาพ  กรณีที่ไม่ปรากฏภาพตัวอย่างให้คลิกที่ปุ่ม   จากนั้นเลือกภาพที่ต้องการแล้วลากมาวางในหน้ากระดาษ  

การใส่ไฟล์วิดีโอ และไฟล์เสียงลงในอัลบั้ม
       นอกจากข้อความและภาพนิ่ง  โปรแกรมยังสนับสนุนการนำเสนอสื่อมัลติมีเดียรูปแบบต่างๆ  เช่น  เสียง  วีดิทัศน์  และภาพเคลื่อนไหว  เช่น Gif Animation  โดยใช้เทคนิคการนำเข้า เช่นเดียวกับรูปภาพ คือใช้ปุ่มเครื่องมือ Insert Multi-media Objects   แล้วลากไฟล์สื่อที่ต้องการมาวางบนหน้ากระดาษ

การทำจุดเชื่อมโยง (Link)
การทำจุดเชื่อมหรือลิงก์ (Link) ด้วยข้อความหรือวัตถุต่างๆ  ไปยังตำแหน่งต่างๆ หรือเรียกว่าเว็บไซต์  ก็เป็นฟังก์ชั่นหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของ e-Book  ดังนั้น FlipAlbum  จงเตรียมคำสั่งเพื่อให้สามารถทำงานได้สะดวก  โดยเลือกกรอบข้อความ  รูปภาพแล้วคลิกขวา จากนั้นเลือกคำสั่ง Set Link..






อ้างอิงถึง :   



วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555


บทความสารสนเทศยุคโลกาภิวัตน์

     ปัจจุบันองค์การธุรกิจมีการใช้ระบบสารสนเทศหลากหลายระบบโดยมีการปฏิบัติงานเฉพาะเรื่อง และยังมีการบูรณาการระบบสารสนเทศต่างๆ เข้าด้วยกันทั้งภายในและภายนอกองค์การ เพื่อการเชื่อมโยงและการแพร่กระจายสารสนเทศทั่วทั้งองค์การ ตลอดจน มีการเชื่อมโยงสารสนเทศกับองค์การภายนอก ซึ่งก็คือ ลูกค้า  ผู้จัดหาและหุ้นส่วนธุรกิจ ภายใต้รูปแบบของระบบวิสาหกิจระบบวิสาหกิจเป็นระบบที่รวบรวมระบบประยุกต์ด้านหน้าที่งานแนวไขว้และระบบอื่นๆไว้ภายใต้ระบบงานเดียวโดยมีระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การ เป็นระบบที่ใช้เป็นตัวเชื่อมโยงกระบวนการทางธุรกิจหลักและระบบสารสนเทศอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันโดยเฉพาะระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนการทำงานของระบบสารสเทศด้านการจัดการโซ๋อุปทาน และระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์อีกทั้งยังใช้สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจโดยมีการค้นหาความรู้จากฐานความรู้ขององค์การหรือศูนยรวมความรู้วิสาหกิจและมีการทำงานร่วมกับระบบการจัดการความรู้ และระบบสนับสนุนการตัดสินใจในส่วนอัจฉริยะทางธุรกิจ
      คำว่า “โลกาภิวัตน์” หมายถึง การแพร่กระจายไปทั่วโลก (ของข่าวสาร) การที่ประชาคมโลกไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใดสามารถรับรู้ สัมผัส หรือ รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง สืบเนื่องมาจากการพัฒนาระบบสารสนเทศ ดังนั้นยุคโลกาภิวัตน์จึงเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร (Information Age) ที่ไร้พรมแดน อันเป็นยุคที่มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารและคมนาคม ทำให้ประเทศต่าง ๆ ได้เข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น กระแสโลกทั้งในรูปของทุนและข้อมูล รวมทั้งค่านิยมบางประการ เช่น สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ได้ขยายตัวครอบคลุมไปทั่วโลก

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

''ถอนพิษประเทศไทย ถอนใจจากความรุนแรงและเกลียดชัง''
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. (2555)
โครงการปริญญาโท หลักสูตรสันติศึกษา
www.facebook.com/hansa.mcu

"การใช้ไฟดับไฟย่อมทำให้ไฟโหมกระพือรุนแรงมากยิ่งขึ้น ฉันใด การเอาชนะความรุนแรงด้วยความรุนแรง ย่อมทำให้ความรุนแรงขยายตัวมากยิ่งขึ้น ฉันนั้น" ในเมื่อการใช้ความรุนแรงนำไปสู่การสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสูญเสียมวลชน หรือแนวร่วม คำถามคือ "เพราะเหตุใดคนหรือกลุ่มคนบางกลุ่มจึงตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา?" หรือว่าความรุนแรงมีมิติที่ลุ่มลึกมากกว่าที่เราเห็นด้วยตาแต่รับรู้ด้วยใจ
เมื่อศึกษาโดยละเอียดเราพบประเด็นเรื่องความรุนแรงได้อย่างน่าสนใจว่า ความรุนแรงนั้นประกอบด้วยความรุนแรงทางตรง (Direct Violence) กับความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (Structural Violence) หากวิเคราะห์อย่างผิวเผินอาจจะทำให้เห็นว่า ความรุนแรงสองสิ่งนี้แยกขาดเป็นคนละประเด็นไม่เกี่ยวข้องกัน แต่หากมองให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นกลับพบความจริงที่น่าสนใจว่า "กลุ่มคนจำนวนมากมักจะนำความรุนแรงทางตรงมาใช้แก้ปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้าง" กล่าวให้ชัดขึ้นไปอีกคือ การใช้ความรุนแรงที่เกิดจากอาวุธ เช่น ปืน มีด และระเบิด รวมไปถึงอาวุธที่ติดตัวมือตั้งแต่เกิด เช่น มือ เข่า ศอก และปากไปจัดการกับความรุนแรงเชิงโครงสร้างบางอย่าง เช่น หิวโหย การข่มเหงรังแก อันเนื่องมาจากพื้นทางทางสังคม ค่านิยม ความเชื่ออุดมการณ์ ศาสนา ชาติพันธุ์ และภาษาที่แตกต่าง จนนำไปสู่การปฏิบัติในลักษณะที่แตกต่าง ทั้งการเลือกปฏิบบัติ การดูถูก การเหยียดหยาม และการเคียดแค้นเกลียดชังกันอย่างรุนแรง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ "วิฑูฑภะศึกษา" พระเจ้าวิฑูฑภะเป็นบุตรของพระเจ้าปเสนทิโกศลกับนางทาสี หรือสาวใช้ของพระเจ้ามหานามะ คำถามคือ "พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นถึงกษัตริย์แต่ไปรับสาวใช้มาเป็นมเหสีได้อย่างไร?" ต้นเหตุเกิดจากการที่พระองค์มีพระประสงค์จะเป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้า แม้จะไม่สามารถเป็นญาติทางธรรมได้ พระองค์เลือกที่จะเป็นญาติทางสายเลือดกับพระพุทธเจ้าในฐานะที่พระพุทธเจ้าเป็นศากยะวงศ์ จึงส่งทูตไปขอมเหสีจากกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "ศากยะ" ในแคว้นสักกะ แต่เนื่องจากคนกลุ่มนี้พยายามที่จะรักษาชาติพันธุ์ของตัวเองให้บริสุทธิ์โดยไม่นิยมไปแต่งงานกับชาติพันธุ์อื่นๆ ถึงอย่างนั้น ด้วยเหตุที่พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจทางการเมือง การปกครอง และการทหารมาก การที่จะขัดต่อไมตรีดังกล่าวย่อมไม่เป็นผลดีต่อการดำเนินวิเทโศบายระหว่างแคว้น จึงตัดสินใจเลือกนางทาสีของพระเจ้ามหานามะคนหนึ่ง โดยอุปโลกน์ให้เป็น "ธิดาของศากยะ" แล้วส่งไปถวายตัวแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล
เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะอยู่ในวัยเยาว์ได้เกิดคำถามมาโดยตลอดว่า เพราะเหตุใด? พระเจ้าปู่ พระเจ้าย่า หรือพระญาติในแคว้นสักกะ จึงไม่ส่งบรรณาการ หรือของฝากมาให้ตัวเอง และแม่เลย ในขณะที่คนอื่นๆ ได้รับของฝากอย่างสม่ำเสมอ แต่คำถามที่ฝังแน่นอยู่ในใจได้รับการเปิดเผยขึ้น เมื่อยามเติบใหญ่ได้ขออนุญาติพระบิดา กับพระมารดาไปเยี่ยมแคว้นสักกะ เมื่อแคว้นสักกะได้รับทราบว่า พระเจ้าวิฑูฑภะกำลังจะเสด็จไปเยือน จึงตัดสินใจให้นำเจ้าศากยะที่มีอายุน้อยกว่าพระเจ้าวิฑูฑภะไปอยู่นอกเมืองทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าศากยะเหล่านั้นทำความเคารพพระเจ้าวิฑฑภะซึ่งเป็นบุตรของนางทาสีหรือสาวใช้ เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะเข้าไปในเมืองจึงไม่มีเจ้าศากยะท่านใด ทำความเคารพพระองค์แม้แต่คนเดียว
ในที่สุดความจริงได้ปรากฎชัดยิ่งขึ้น เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะกำลังเสด็จกลับพร้อมไพร่พล แต่ทหารคนหนึ่งลืมอาวุธจึงรีบกลับเข้าไปในเมือง และได้ยินนางทาสีกลุ่มหนึ่งกล่าวว่า "พวกเราต้องลำบากด้วยการนำน้ำนมมาล้างตั่งที่ลูกของนางทาสีมันนั่ง" จะเห็นว่าการใช้น้ำสะอาดล้างก็น่าจะเพียงพอ แต่การใช้น้ำนมล้างถือเป็นการกำจัดเสนียดจัญไร และความเป็นอัปปมงคลของเจ้าศากยะ ทหารจึงนำความจริงดังกล่าวไปแจ้งแก่พระเจ้าวิฑูฑภะ ในที่สุดแล้วพระองค์จึงสามารถประมวลภาพทั้งหมดตั้งแต่เยาว์วัยว่าเพราะเหตุใด? พระองค์จึงได้รับการปฏิบัติในลักษณะดังกล่าวมาโดยตลอด
ในขณะที่ความสงสัยของพระองค์ได้พลันเลือนมลายหายไป แต่ความเกลียดชังอย่างรุนแรงได้เข้ามาปรากฏแทนที่จนทำให้พระองค์ประกาศกร้าวว่า "วันนี้พวกเจ้าศากยะนำน้ำนมมาล้างตั้งที่เรานั่ง แต่วันหน้าเราจะนำเลือดที่ลำคอของพวกเจ้าศากยะมาล้างความเกลียดเคียดแค้นชิงชังแทน" หลังจากกลับไปแคว้นโกศลจึงดำเนินการยึดอำนาจจากพระเจ้าปเสนทิโกศล และแม้พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปห้ามปรามถึง ๓ ครั้ง แต่พระองค์ตัดสินพระทัยยกทัพหลวงไปฆ่าล้างแค้นกลุ่มชาติพันธุ์ของเจ้าศากยะทั้งหมด ยกเว้นพระเจ้ามหานามะซึ่งพระมารดาเคยทำงานรับใช้ในฐานะเป็นนางทาสี แต่สุดท้ายพระเจ้ามหานามะได้ตัดสินพระทัยฆ่าตัวตายด้วยไม่ประสงค์จะเสวยพระกระยาหารร่วมกับพระเจ้าวิฑูฑภะ
กรณีศึกษาของพระเจ้าวิฑูฑภะจึงเป็นตัวอย่างที่ดีประการหนึ่งที่สามารถฉายภาพให้เราได้เห็นว่า "การใช้ไฟดับไฟย่อมทำให้ไฟโหมกระพือรุนแรงมากยิ่งขึ้น ฉันใด การใช้ความรุนแรงดับความรุนแรง ย่อมทำให้ความรุนแรงขยายตัวมากยิ่งขึ้น ฉันนั้น" จะเห็นว่า พระเจ้าวิฑูฑภะได้ใช้ความรุนแรงทางตรงคืออาวุธเข้าไปจัดการกับความรุนแรงเชิงโครงสร้าง" อันเนื่องมาจากความโกรธ เกลียด เคียดแค้น และชิงชังที่ก่อตัวมาอย่างเงียบๆ และระเบิดออกมาในที่สุด หากมองในมุมของพระเจ้าวิฑูฑภะนั้น "การใช้ความรุนแรงด้วยการฆ่านั้น แม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน อีกทั้งจะนำไปสู่ปัญหาใหม่ๆ ตามมา แต่การฆ่าได้ช่วยแก้ปัญหาด้วยการถอนเสี้ยนหนามคือความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในหัวใจของพระองค์ได้" และแนวคิดในลักษณะเช่นนี้ ยังคงมีอยู่ และเกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบันตราบเท่าที่ยังมีความรุนแรงเชิงโครงสร้างเข้ามาคุกคาม และซ่อนตัวอยู่ในทุกอณูของสังคมไทย และสังคมโลก
สภาพปัญหาการใช้ความรุนแรงทางตรงเพื่อเข้าไปจัดการกับความรุนแรงเชิงโครงสร้างมีให้เห็นอยู่ทั่วทุกมุมของโลก ไม่ว่าจะเป็นกรณีอาหรับสปริง (Arab Spring) ในตะวันออกกลาง รวมถึงซีเรียที่กำลังเกิดในปัจจุบันนี้ การต่อสู้ระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอล และสภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ทั้งกรณี ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อช่วงชิงภาวะการนำในสังคมไทยปัจจุบันนี้ ก็เผยให้เห็นถึงบางแง่มุมของการใช้ความรุนแรงเพื่อเอาชนะความรุนแรงเช่นเดียวกัน
คำถามคือ ในที่สุดแล้วบทสรุปของเรื่องนี้จะปรากฎรูปโฉมออกมาในรูปแบบใด?? ชุดความคิดที่ว่า "อย่าใช้ไฟไปดับไฟแม้ว่าใครจะพยายามจุดไฟขึ้นมาก็ตาม" หรือ "อย่าใช้ความรุนแรงไปแก้ปัญหาความรุนแรง" จึงเป็นกระบวนทัศน์ที่กลุ่มคนต่างๆ ต้องให้ความสำคัญ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราจะพบความจริงว่า ในทุกสมรภูมิของการต่อสู้ที่ห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงนั้น ในที่สุดแล้ว การหาทางออกอย่างสันติ และยั่งยืนมักจะจบด้วยการเจรจาพูดคุยทั้งสิ้น เช่น การต่อสู้ระหว่างกลุ่มคนในมินดาเนากับรัฐบาลกลาง ประเทศฟิลิปปินส์ การต่อสู้ระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำในแอฟริกาใต้ สงครามระหว่างเหนือกับใต้ในอเมริกายุคประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอร์น ท้ายที่สุด หนึ่งในทางออกคือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้วยการเลิกทาส หรือแม้กระทั่งพระเจ้าอโศกมหาราชที่ทำสงคราม และฆ่ากลุ่มคนจำนวนมาก สุดท้ายได้หันกลับมาใช้ธรรมวิชัยยุทธ์
พระพุทธเจ้าได้นำหลักการพื้นฐานเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวว่า "จงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ" หมายถึง "การเอาชนะความรุนแรงด้วยความไม่รุนแรง" หลักการนี้ถือเป็นกฎข้อแรกในการวางท่าทีต่อกลุ่มคนต่างๆ และจำเป็นต้องยึดหลักการนี้ให้มั่นคง หากความโกรธคือไฟ ความไม่โกรธย่อมเป็นน้ำ หากความโกรธ เคียดแค้น ชิง ชัง คือ ความรุนแรง ความไม่โกรธคือ ความไม่รุนแรง สำหรับกฎข้อที่สอง คือ กฎที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะพุทธมามกะทรงเน้นให้ปฎิบัติอยู่ตลอดเวลาว่า "การเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" โดยเริ่มต้นศึกษาเพื่อที่จะทำความเข้าใจว่า เพราะเหตุใด? กลุ่มคนต่างๆ จึงคิดต่าง และปฏิบัติต่างจากเรา และเข้าถึงเขาโดยการปฏิบัติต่อเขาในฐานะที่เขาเป็นเขา ไม่พยายามที่จะเอาเขามาเป็นเรา ด้วยการร่วมแรงร่วมใจในการพัฒนาทั้งกาย พฤติกรรม จิต และปัญญาให้สอดรับกับวิถีชีวิต ความต้องการ วัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณี ศาสนา และภาษา ซึ่งกฎทั้งสองข้อสามารถประยุกต์ใช้แก้ปัญหาความรุนแรงได้ทั้งสังคมไทยและสังคมโลกในสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างสมสมัยและมีประสิทธิภาพ
กฎทั้งสองข้ออาจจะเป็น "ชุดความคิด และแนวปฏิบัติ" ในการจัดการกับความรุนแรงด้วยความไม่รุนแรง แม้ว่า หากมีคนหรือกลุ่มคนแสดงออกต่อเราด้วยรุนแรงทั้งโกรธ ความเกลียด เคียดแค้น และชิงชัง แต่ถ้าเราเข้าไปกระทำการรุนแรงตอบโต้ ย่อมจะทำให้พื้นที่ของความรุนแรงขยายวงออกไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น เพราะเหตุผลดังกล่าว พระพุทธเจ้าจงย้ำเตือนว่า "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร" เหตุผลที่ทรงตรัสเช่นนี้ เพื่อให้ทุกอย่างจบลงและจะได้เริ่มต้นพัฒนาชีวิต และสังคมอย่างมีความสุขร่วมกันต่อไป จะเห็นว่า " การระงับจึงมีค่าเท่ากับการเริ่มต้น" ตัวอย่างเช่นนี้มีให้ได้เรียนรู้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองระหว่างอับราฮัม ลินคอร์นกับเอดวิน แสตนตัน เนลสัน แมนเดลา กับเฟรเดอริค เดอ เคลิร์ก บารัก โอบามากับฮิลลารี คลินตัน ออง ซาน ซูจีกับรัฐบาลทหารพม่า หรือว่าสุดท้ายแล้ว อาจจะมีข้อยกเว้นแก่เมืองไทยที่คน หรือกลุ่มคนบางกลุ่มจองเวรซึ่งกันและกันเหมือนหมีกับไม้ตะคร้อ พังพอนกับงูเห่า กากับนกเค้าแมว